เสียงรบกวน (Noise) คืออะไร ?
เสียงรบกวน (Noise) คือเสียงหรือสัญญาณใด ๆ ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อบุคคล โดยเฉพาะเสียงที่ ไม่ได้รับการต้องการฟัง หรือเสียงที่ทำให้เกิดความรบกวนทางความรู้สึกและการทำงาน เช่น เพลงหรือเสียงเครื่องจักรที่บางคนอาจไม่ต้องการฟัง เสียงรบกวนเหล่านี้ไม่เพียงแค่สร้างความรำคาญ แต่ยังสามารถส่งผลเสียต่อระบบร่างกายและจิตใจ เช่น ทำให้สมาธิลดลง เกิดความเครียด หรือรบกวนการพักผ่อน นอกจากนี้ เสียงรบกวนยังอาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทำให้คนอื่นหรือสัตว์ในพื้นที่นั้นรู้สึกไม่สบายใจ หรือเปลี่ยนพฤติกรรมไปโดยไม่ตั้งใจ การควบคุมและจัดการเสียงรบกวนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งในแง่ สุขภาพ ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิต

เสียงรบกวนส่งผลต่ออะไรบ้าง ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีอาการหรือดังเกินไปคือบางคนรู้สึกไม่สบายใจ และรู้สึกไม่อยากอยู่กับสิ่งนั้นต่อไป
ทางร่างกาย: การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอเมื่อรู้สึกตัวเวลาเกิดเสียง ทางจิตใจ: ทำให้ความเครียด วิตกกังวล หงุดหงิด หาทางออกกับสิ่งรบกวนไม่ได้ เสี่ยงต่อภาพวะซึมเศร้า
เสียงรบกวนทำให้สมาธิลดลงและเกิดความผิดพลาดขึ้นในการทำงานและตัดสินใจ หรือในการเรียนการสอนทำให้ผู้สอนผู้เรียนไม่จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่
หากเป็นเสียงที่ดังมากๆ ต่อเนื่องกัน เช่น >85 dB (เดซิเบล) จะมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียการได้ยิน แต่โอกาสนี้อาจจะเกิดขึ้นน้อยในเรื่องเสียงรบกวน เพราะคนส่วนใหญ่จะมีทนอยู่ในภาพวะเสียงดังแบบนี้ได้
สาเหตุของความเครียดหรือที่สะสม อาจเป็นไปได้ที่จะทำร้ายร่างกายหรือทรัพย์สินได้ ตัวอย่างเช่น ร้านซ่อมรถใกล้บ้านมีกิจกรรมซ่อมรถและเกิดเสียงดังจากท่อไอเสีย ทำให้ผู้ที่พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียงต้องเข้าไปเตือนให้ลดเสียงลง ซึ่งในบางกรณีอาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาท
การประเมินเสียงรบกวน
ในประเทศไทย มี มาตรฐานด้านเสียงรบกวน ที่ใช้ในการประเมินระดับเสียง โดยกำหนดให้ใช้ เครื่องวัดเสียงตามมาตรฐาน IEC61672-1 Class 1 ตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ดี น้อยคนนักที่จะเข้าใจเนื้อหาและข้อกำหนดของกฎหมายด้านเสียงรบกวนอย่างครบถ้วน ส่งผลให้การประเมินเสียงในหลายพื้นที่ ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ บางกรณีมีการใช้ ค่ามาตรฐานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนำเกณฑ์ของเสียงทั่วไปมาประเมินเสียงรบกวน หรือใช้ระดับเสียงในการทำงานมาประเมินการรบกวน ซึ่งถือว่า ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางกฎหมายและวิชาการ การประเมินเสียงรบกวนที่ถูกต้องจะต้องมีชุดข้อมูลดังต่อไปนี้:
- สเกลเดซิเบลและการถ่วงน้ำหนักความถี่ (LAeq)
- ค่าระดับเสียงขณะไม่มีการรบกวนของแหล่งกำเนิด (LAeq)
- ค่าระดับเสียงพื้นฐานขณะที่ไม่มีการรบกวนของแหล่งกำเนิด ในรูปแบบ Percentile 90 (LA90)
- ข้อมูลช่วงเวลาการตรวจวัด หรือช่วงเวลาที่เกิดเสียง เพื่อนำมาคำนวณ Time correction
- ประเภทของแหล่งกำเนิดเสียง เช่น เสียงต่อเนื่อง, ไม่ต่อเนื่อง, เสียงกระแทก, แหลมดัง, หรือเสียงที่เกิดความสั่นสะเทือน
- ลักษณะพื้นที่ เช่น ศาสนสถาน, โรงเรียน, โรงพยาบาล หรือพื้นที่ที่ต้องการความเงียบสงบ ซึ่งการตรวจวัดทั้งหมดนี้จะต้องวัด ณ จุดที่ผู้ได้รับผลกระทบร้องเรียนว่าได้รับการรบกวนต่อการใช้ชีวิต
วิธีการวัดและประเมินเสียงรบกวน ตัวอย่างการคำนวณ → การวัดเสียง & เดซิเบล
มาตรฐานเสียงรบกวนในตอนนี้
ประเทศไทยได้กำหนดเรื่องค่ามาตรฐานเสียรบกวน ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 29 (พ.ศ. 2550) ที่กำหนดให้ระดับเสียงรบกวนเท่ากับ 10dBA
โดยจะต้องใช้วิธีวัดและคำนวณค่าระดับการรบกวนให้เป็นไปตาม ประกาศคณะกรรมการควบคุมมลพิษ เรื่อง “วิธีการตรวจวัดระดับเสียงพื้นฐาน ระดับเสียงขณะไม่มีการรบกวน การตรวจวัดและคำนวณระดับเสียงขณะมีการรบกวน การคำนวณค่าระดับการรบกวน และแบบบันทึกการตรวจวัดเสียงรบกวน พ.ศ. 2565” ลงวันที่ 21 กันยายน 2565 และเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนพิเศษ 266 ง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ประกาศดังกล่าวกำหนดวิธีการวัดระดับเสียงขณะมีการรบกวนและระดับเสียงพื้นฐาน เพื่อให้การคำนวณระดับเสียงรบกวนเป็นไปอย่างเป็นมาตรฐานและเชิงวิชาการอ่านต่อ → ประเภทและแหล่งกำเนิดเสียง
กฎหมายและการบังคับใช้
มาตรฐานเสียงรบกวนสามารถบังคับใช้ได้ในทุกกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการรบกวน ไม่ว่าจะเป็น ข้อร้องเรียนจากประชาชนไปยังสถานประกอบการ หรือ ประชาชนด้วยกัน หรือประชาชนต่อภาครัฐ หรือองค์กร แต่เรื่องของเสียงรบกวนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องประเมนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง ซึ่งการวัดและการประเมินเสียงรบกวนในหลายๆที่มีผลออกมาไม่เป็นเสียงรบกวน แต่ผู้ร้องเรียนอาจจะยังรู้สึกรบกวน อาจจะเป็นผลมาจาก การเลือกจุดตรวจวัด ระยะเวลาเกิดเสียงในช่วงนั้น หรือการเลือกช่วงเวลาตรวจวัดที่ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ หรืออีกบางกรณีที่มีค่าระดับเสียงรบกวนสูงเกินความเป็นจริง อาจจะเป็นเพระว่าตำแหน่งการตั้งเครื่องวัดเสียงอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดเสียงเกินไปและไม่ใช้จุดที่ผู้รับผลกระทบใช้ชีวิตอยู่อย่างแท้จริง
รายละเอียด → กฎหมายและมาตรฐานเสียง รวมไว้ที่นี่แล้ว
ทำไมค่าเสียงรบกวนถึงเท่ากับ 10 เดซิเบลเอ ?
แนวคิดพื้นฐาน- ใน psychoacoustics (จิตอะคูสติก) และ environmental acoustics (เสียงสิ่งแวดล้อม) มีการใช้เกณฑ์ “ความต่าง 10 dB” เพื่อแปลผลว่าเสียงหนึ่ง ๆ น่ารำคาญ (annoying) เมื่อเทียบกับเสียงอีกแหล่งหนึ่ง
- หลักการคือ หากเสียงใหม่ดังขึ้นมากกว่าเสียงพื้นฐานราว 10 dB จะทำให้ผู้ฟังรับรู้ว่าเสียงนั้น “เด่นชัด” และ “รบกวน”
งานวิจัยด้าน psychoacoustics ระบุว่า:
- ΔL ≈ 1 dB ผู้ฟังทั่วไปแทบไม่รู้สึกต่าง
- ΔL ≈ 3 dB ผู้ฟังบางส่วนเริ่มรู้สึกว่าเสียง “เปลี่ยนแปลง”
- ΔL ≈ 5 dB ผู้ฟังส่วนใหญ่สังเกตได้ว่าเสียง “ดังขึ้น”
- ΔL ≈ 10 dB ผู้ฟังจะรู้สึกว่าเสียง “ดังขึ้นเกือบเท่าตัว” (subjective loudness) และเริ่มถือว่า “รบกวน (annoyance)”
ดังนั้นในระดับสากล “10 dB” จึงถูกใช้เป็น เกณฑ์จิตวิทยา–การรับรู้ ที่ชัดเจน ว่าเสียงใหม่ที่ไม่ต้องการฟังเริ่มมีผลต่อความสบายและคุณภาพชีวิต
ดูโครงสร้างเอกสารและเกณฑ์ที่ใช้บ่อย → กฎหมาย/มาตรฐานด้านเสียง
การใช้งานในมาตรฐานสากล
- ISO 1996-1 (Acoustics — Description, measurement and assessment of environmental noise) ระบุว่า เสียงจากแหล่งใหม่ควรพิจารณา difference ΔL ≥ 10 dB ว่า “เด่นชัด” และอาจก่อให้เกิด annoyance
- WHO Guidelines for Community Noise (2000, 2018 update) ใช้ความแตกต่าง 10 dB เป็นจุดที่ “เสียงรบกวน” เริ่มส่งผลต่อสุขภาพและความน่ารำคาญในบริบทของชุมชน
- Psychoacoustic research (Zwicker, ISO 532-1) พบว่าการเพิ่มขึ้น ~10 dB SPL เทียบเท่ากับการรับรู้ว่า “ดังขึ้นเป็น 2 เท่า” (twice as loud perception)เชื่อมโยงกับความรำคาญ (annoyance growth function)
คู่มือเลือกมาตรการ & ROI → การควบคุมและลดเสียง
การเชื่อมโยงกับกฎหมายไทย
จะเห็นได้ว่ามาตรฐานเสียงรบกวนที่บ้านเราใช้เป็นหลักการที่ใช้กันอย่างสากลที่นำค่าระดับการรบกวนที่ 10dB มาใช้ ทั้ง ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม ประกาศกรมอนามัย แต่ในการตรวจวัดและคำนวณค่อนข้างมีความซับซ้อน จึงต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญที่ศึกษาข้อกฎหมายเงื่อนไขต่างๆมาเป็นอย่างดี และใช้เครื่องมือวัดที่ถูกต้องตามมาตรฐาน
รายละเอียด → กฎหมายและมาตรฐานเสียง รวมไว้ที่นี่แล้ว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Noise ต่างจาก Sound อย่างไร?
จะเริ่มต้นแก้ไขจากจุดไหน?
ต้องวัดกี่ครั้งจึงเพียงพอ?
เราพร้อมจัดทำวัด–วิเคราะห์–ออกแบบ–ยืนยันผล ครบวงจร